ช่วงนี้มีการออกมาพูดถึงโทษของการบริโภคน้ำตาลกันค่อนข้างมาก หากให้เดาถึงสาเหตุคงเป็นเพราะรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนไป แต่จะว่าไป“น้ำตาล”ก็เป็นส่วนหนึ่งของใครต่อหลายคน หลับตานึกภาพดู เช้าตื่นขึ้นมาดื่มกาแฟหรือโกโก้สักแก้วคุณใส่น้ำตาลลงไปกี่ช้อน ทำกับข้าวอาหารทุกจานล้วนแล้วแต่มีน้ำตาลเป็นเครื่องปรุงทั้งสิ้น จึงเป็นเหตุให้ชีวิตไม่สามารถหลีกหนีความหวานไปได้

ต้องยอมรับว่าเรากินกันจนเกิดความเคยชินไปเสียแล้ว มีเรื่องที่เหลือเชื่อว่า “น้ำตาล” มีผลต่ออารมณ์ก้าวร้าว คุณเชื่อหรือไม่ ขอแนะนำให้ลองสำรวจอารมณ์ของตนเองบ้าง ว่ามีภาวะอารมณ์ก้าวร้าวบ้างหรือไม่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า “น้ำตาล” ที่มีรสหวานอร่อยลิ้นนั้น จะมีผลร้ายต่อระบบประสาทและภาวะอารมณ์ของคนเรา ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น ซึมเศร้า ก้าวร้าว ต่อต้านสังคม หรือ อาจจะรุนแรงถึงขั้นก่ออาชญากรรมไปเลยก็ได้ เคยได้ยินคนรุ่นก่อนบอกบ้างหรือไม่ว่าอย่าเลี้ยงหมาด้วยนมข้นหวานเพราะจะทำให้มันดุร้ายมาก


ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ได้อธิบายถึงการทำงานของน้ำตาลที่ไปมีผลต่ออารมณ์เอาไว้ว่า เมื่อน้ำตาลจำนวนมากเข้าไปในร่างกาย มันจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดภายในเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น แล้วตับอ่อนก็จะหลั่งอินซูลินออกมา เพื่อขับน้ำตาลในเลือดส่วนเกินออกไป จนกระทั่งระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง ก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Hypoglycemiaในภาวะดังกล่าว Cerebrum ซึ่งเป็นสมองส่วนที่สัมพันธ์กับการเรียนรู้ การคิดค้น พฤติกรรม จิตสำนึก และสติสัมปชัญญะ ก็จะปิดตัวลง พลังงานของสมองก็จะส่งผ่านไปยังก้านสมองซึ่งควบคุมสัญชาติญาณและกิริยาอาการดั้งเดิมของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าว รุนแรง ไร้เหตุผล ทำให้คนที่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำสามารถทำอะไรโดยไม่ทันยั้งคิดได้ง่ายขึ้น

"ของหวาน" สาเหตุของความเสื่อมทั้งหลาย

คนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยเบาหวานเท่านั้น หมายถึงทุกคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน ผลไม้หวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ฯลฯ จะทำให้อวัยวะในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำให้แก่เร็ว ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง เบาหวาน กระดูกพรุน อ้วน เนื้องอก และมะเร็ง น้ำตาลจะทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกด้วยไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม เช่น ถ้าดื่มนมจนเป็นภูมิแพ้ ภูมิแพ้จะรุนแรงเป็น 2 เท่าถ้าเรากินหวานด้วย เพราะ "เชื้อโรคทุกตัวใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"

บางคนเข้าใจว่าน้ำตาลทรายแดงไม่เป็นอันตราย ความจริงน้ำตาลทรายแดงดีกว่าน้ำตาลทรายขาวที่มีวิตามิน B และไม่มีอันตรายจากสารฟอกขาว แต่อันตรายจากความหวานนั้นมีเท่ากัน ทุกอย่างที่หวานเป็นอันตรายต่อทุกคนที่กิน คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีโอกาสเป็นอันตรายจากหวานลดลง แต่ปริมาณน้ำตาลที่พอดี ร่างกายไม่เกิดอันตรายคือวันละ 10 ช้อนสูงสุด ในแต่ละวันนี้เราทุกคนได้เกิน เพราะเราได้จากหลายอย่าง เช่น ในโอวัลติน 1 แก้ว มีน้ำตาล 2 ช้อน น้ำอัดลม 1 ขวดเล็กมีน้ำตาล 6 ช้อน น้ำส้มคั้นไม่ใส่น้ำตาลมี น้ำตาล 4 ช้อน โอเลี้ยงหรือกาแฟมีน้ำตาล 2 ช้อน เป็นต้น จากเฉพาะเครื่องดื่มในแต่ละวันเราก็ได้รับน้ำตาลเกินแล้ว

รู้อย่างนี้แล้วก็ใช่ว่าจะเลิกกินเลิกใช้ไปเสียทีเดียว เอาเป็นว่ากินน้อยๆ หน่อยก็แล้วกัน เพราะทุกอย่างในโลกล้วนมีสองด้าน เมื่อมีโทษแล้วก็ย่อมมีคุณ ด้านคุณค่าเป็นที่รู้กันอยู่ว่าน้ำตาลเป็นอาหารสำคัญที่ให้พลังงาน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของผลึกสีขาว หรือสีน้ำตาลแดงก็ตาม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “ซูโครส”

ทางวิทยาศาสตร์มีน้ำตาลมากมาย เช่น กลูโคสและฟรักโทส มีในพืชและสัตว์และผลไม้ แล็กโทสมีในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พืชสีเขียวสร้างน้ำตาลได้ด้วยแสงแดด อากาศ และน้ำ ด้วยวิธีที่เรียกว่า การสังเคราะห์ด้วยแสง กลูโคสเป็นน้ำตาลที่สำคัญที่สุด มีอยู่ในเลือดของสัตว์ และในน้ำเลี้ยงของพืช

น้ำตาลทุกชนิดมีสารประกอบเคมีจำพวกคาร์โบไฮเดรต ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ถ้าเอากรดซัลฟิวริก หรือกรดกำมะถันชนิดเข้มข้น ใส่ลงในน้ำตาลทรายสีขาว กรดจะดูดน้ำออกไปจากน้ำตาลทรายเหลือแต่ถ่านสีดำ สารสังเคราะห์บางชนิดไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตแต่มีรสหวานจัด เช่น แซ็กคาริน และแอสพาร์แทม มีรสหวานราว 300 และ 200 เท่า ของน้ำตาลทรายตามลำดับ ใช้แทนน้ำตาลได้เฉพาะในเรื่องของความหวาน เรียกสารพวกนี้ว่า น้ำตาลเทียม ทุกวันนี้แอสพาร์แทม เป็นที่นิยมมากกว่า แซ็กคาริน เพราะยังไม่พบว่ามีอันตรายต่อคน มีของดื่มหลายอย่างที่ใส่แอสพาร์แทม เช่น น้ำอัดลมบางชนิด น้ำผลไม้ผง ลูกกวาด

แต่ที่แน่ๆ ถ้ากินน้ำตาลมากๆ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเอวจะหายไปไม่รู้ตัว รายงานล่าสุดพบว่าคนไทยติดกินหวานจัดเฉลี่ยแล้วคิดเป็นคนละ 30 กก.ต่อปี มากขึ้นกว่าเท่าครึ่งของปีที่ผ่านมา ที่สำคัญส่วนใหญ่ไม่ได้บริโภคในรูปของน้ำตาล แต่ได้รับแฝงในรูปอาหาร เครื่องดื่ม เช่น นอกจากนั้นพบว่า คนไทยนิยมบริโภคอาหารที่ใส่น้ำตาลมากขึ้นทั้งอาหารคาว อาหารหวาน ส่งผลให้คนไทยอ้วน เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดและหัวใจตีบตัน เป็นต้น




สำหรับคนอ้วนทั้งที่เริ่มอ้วนหรืออ้วนแล้วนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการควบคุมน้ำหนักไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำตาล เพราะต่อให้ระมัดระวังควบคุมไขมันมากขนาดไหน แต่ถ้ายังเติมน้ำตาลไม่ยั้งมือก็จะส่งต่อสุขภาพได้เช่นกัน หลายคนประมาทพวกอาหารไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน อาหารพวกนี้ก็สามารถทำให้คุณอ้วนได้ถ้ามีน้ำตาลฟรุกโตส อยู่ในปริมาณมาก เพราะร่างกายเราดูดซึม อาหารพวกนี้ได้เร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตามกลไกร่างกายแล้ว ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินออกมาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ความจริงที่โหดร้ายก็คือ ถ้าเราไม่ได้ใช้พลังงานมากพอ น้ำตาลก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ในร่างกาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สมัยนี้เรามักจะพบลูกเด็กเล็กแดงตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำน่ารักน่าชัง แต่นั้นคือสัญญาณเตือนภัยที่สารพัดโรคจะเข้ามารุมเร้าโดยที่เราไม่รู้ตัว

แพทย์เผยปัจจุบันมีคนไทยเป็นโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วนมากขึ้น

ศ.น.พ.สุรัตน์ โกมินทร์ แพทย์วิชาอายุรศาสตร์ รพ.รามาธิบดี เผยว่า คนไข้ที่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคอ้วนเข้ารับการรักษาที่ รพ.รามาธิบดีเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่อาการปวดเข่า นอกจากนั้นผู้หญิงอ้วนยังมีโอกาสเป็นเบาหวาน ถึง 8 เท่าของคนที่ไม่อ้วน ผู้ชายอ้วนมีโอกาสเป็นเบาหวาน 5 เท่าของคนที่ไม่อ้วน นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงกับการเป็นโรคไขมันในเลือดสูง รวมทั้งคนที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไปหากอ้วนมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีเกิน 100 เปอร์เซ็นต์

ยังพบว่าข้อสรุปเสื่อมอาการปวดหัวเข่าเป็นอาการที่ทำให้คนอ้วนมาหาแพทย์บ่อยที่สุด เกินร้อยละ 60 เพราะมีปัญหามากกว่าครึ่งหนึ่ง บางคนมีอาการปวดข้อเท้า ทั้งยังมีอาการเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก๊าท์ นอกจากนี้ระบบโฮโมนในร่างกายยังผิดปกติด้วย

จริงอยู่ที่อาหารรสหวาน ทำให้ชีวิตมีรสชาติ ทำให้รู้สึกสดชื่นกระชุ่มกระชวย แต่การทานน้ำตาลมากเกินไปน่าจะเป็นโทษมากกว่าเป็น ประโยชน์ เพราะน้ำตาลที่ผ่านการฟอกขาว ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ง่าย พอระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อวัยวะที่จะต้องหัวหมุนก็คือตับอ่อน ที่จะต้องทำงานหนัก ทางออกที่ดีที่สุดคือลดความหวานลงหน่อย

ถ้าเลิกไม่ได้ก็เปลี่ยนมากินน้ำตาลแบบที่ยังไม่สกัดแทน เพราะผักหรือผลไม้ที่มีรสหวาน จะมีไฟเบอร์ น้ำ และแร่ธาตุอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ และมีกากอาหารที่ร่างกาย ไม่สามารถดูดซึมได้ทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้ ลองเลิกทานน้ำตาลสัก 2-3 วันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับบางคนที่มักจะทานน้ำตาลในปริมาณมาก อาจจะรู้สึก หงุดหงิดสักหน่อย แต่ยิ่งเลิกยากเท่าไหร่ เวลาเลิกได้จะยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น

...ลองทำดูเพื่อสุขภาพ อย่าปล่อยให้เกิดความเคยชินจนเป็นบ่อนทำลายคุณเอง