โรคอ้วนอาจเป็นอุบัติเหตุทางวิทยาศาสตร์เมื่อ 30 ปีก่อน..
มนุษย์รู้จักความอ้วน ต่อสู้กับความอ้วน มานานเกือบเท่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่มีการบรรทึก แต่ความอ้วนที่กลายมาเป็น “โรคอ้วน” ที่ระบาดอย่างหนักเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่
เรื่องนี้อาจจะเกิดจากการที่นักโภชนศาสตร์จำนวนหนึ่งเริ่มตั้งสมมุติฐานว่า ความอ้วนและไขมันที่สะสมรวมถึงไขมันในเส้นเลือดน่าจะมีสาเหตุมาจากการที่เรารับประทานเนื้อติดมัน หรือไขมันในรูปแบบอื่นๆมากเกินไป นักวิชาการจำนวนมากก็เริ่มเชื่อเช่นนั้น จนหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ส่งเสริมสุขอนามัยของประชาชนเริ่มแนะนำให้ประชาชนลดการบริโภคเนื้อติดมัน เนย หรือไขมันทุกรูปแบบเมื่อสัก 30 ปีก่อน
ที่แย่กว่านั้นก็คือ อุตสาหกรรมอาหารก็มองเห็นลู่ทางธุรกิจ ต่างเร่งพัฒนาอาหาร “พร่องไขมัน” (low fat) ในรูปแบบต่างๆ มีการโฆษณาอย่างหนักจนกลายเป็นธุรกิจมูลค่ามหาศาล แนวความคิดนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก เข้าขั้นเป็นลัทธิพร่องไขมันทีเดียว คนจำนวนมากหันมาดื่มนมสดพร่องมันเนยอย่างไม่จำกัด โดยไม่คำนึงว่า เครื่องดื่มเหล่านี้จะมีน้ำตาลหรือสารปรุงแต่งรสชนิดใด มากน้อยแค่ไหน
เมื่อลดการบริโภคเนื้อสัตว์และไขมัน สัดส่วนการบริโภคแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตก็เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทุกวันนี้ ยังไม่มีการพิสูจน์หรือคำอธิบายที่ชัดเจนว่า ไขมันที่เราบริโภค เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสม หรือไขมันในเส้นเลือดได้จริงหรือไม่ และอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือผู้คนยุคใหม่อ้วนขึ้น เป็นโรคหัวใจมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ทฤษฎีพร่องไขมันกำลังถูกท้าทายอย่างหนัก โดยเฉพาะจากกระแสพร่องแป้ง (low carbohydrate) ที่มีคนจำนวนมากนำไปปฏิบัติอย่างได้ผล ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง และผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ชี้ว่า แป้งและน้ำตาลต่างหากที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคอ้วนระบาด
อุตสาหกรรมอาหารก็เริ่มมองเห็นทิศทางใหม่นี้ และเริ่มมีการปรับตัว ผลกระทบของกระแสโลว์คาร์บกำลังทำให้ยอดขายขนมปังและคุกกี้ลดลงทุกปี
ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเราถูกใช้เป็นหนูทดลองทฤษฎีพร่องไขมันจนอ้วนไปตามๆ กัน